มารูนไฟฟ์ (อังกฤษ: Maroon 5) เป็นวงร็อกจากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย อัลบั้มแรก ซองส์อะเบาต์เจน ขายได้กว่า 10 ล้านแผ่นทั่วโลก พร้อมคว้ารางวัลแกรมมีถึง 2 ครั้ง จากปี 2005 สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และ ปี 2006 สาขาศิลปินป๊อบคู่หรือกลุ่มยอดเยี่ยม จากเพลง "This Love"
มารูนไฟฟ์ ประกอบด้วยสมาชิก Adam Levine (นักร้องนำ) , James Valentine (กีตาร์) , Jesse Carmichael (คีย์บอร์ด) , Mickey Madden (เบส) และ Matt Flynn (กลอง) อัลบั้มใหม่ล่าสุด อิตวอนต์บีซูนฟอร์โซลอง ได้โปรดิวเซอร์ Mike Elizondo, Mark “Spike” Stent, Eric Valentine ที่เคยทำงานให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ เอ็มมิเน็ม, เกว็น สเตฟานี, Bjork, คีน และ มาดอนน่า เป็นต้น
ซิงเกิลแรก "Makes Me Wonder" ได้กระโดดจากอันดับ 64 มาอยู่อันดับหนึ่งได้ในชาร์ทบิลบอร์ด ทำลายสถิติที่เคลลี คลาร์กสันเคยทำไว้เมื่อตุลาคม 2002 กระโดดจาก 52 มาที่อันดับ 1
มารูนไฟฟ์ ประกอบด้วยสมาชิก Adam Levine (นักร้องนำ) , James Valentine (กีตาร์) , Jesse Carmichael (คีย์บอร์ด) , Mickey Madden (เบส) และ Matt Flynn (กลอง) อัลบั้มใหม่ล่าสุด อิตวอนต์บีซูนฟอร์โซลอง ได้โปรดิวเซอร์ Mike Elizondo, Mark “Spike” Stent, Eric Valentine ที่เคยทำงานให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย อาทิ เอ็มมิเน็ม, เกว็น สเตฟานี, Bjork, คีน และ มาดอนน่า เป็นต้น
ซิงเกิลแรก "Makes Me Wonder" ได้กระโดดจากอันดับ 64 มาอยู่อันดับหนึ่งได้ในชาร์ทบิลบอร์ด ทำลายสถิติที่เคลลี คลาร์กสันเคยทำไว้เมื่อตุลาคม 2002 กระโดดจาก 52 มาที่อันดับ 1
ประวัติ
ช่วงเริ่มต้น
อดัม เลอวีน, คาร์ไมเคิล และแมดเดน 3 เพื่อนซี้จากไฮสคูลใน เอล.เอ ตะวันตก เริ่มเป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อ คาร่าส์ ฟลาวเวอร์ ถึงแม้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดีสำหรับพวกเขา แต่อัลบั้มแรก “เดอะ โฟร์ท เวิร์ลด” (The Fourth World) ที่มีโปรดิวซ์เซอร์ระดับตำนาน ร็อบ คาวาลโล่ (Green Day, Goo Goo Dolls) มาทำให้กลับออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง ทำให้พวกเขาหันมาเอาดีทางด้านการเรียน โดยในขณะที่แมดเดนอยู่ที่ ลอสแอนเจลิส เพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยลอสแองเจิลลิส เลอวีนกับคาร์ไมเคิลกลับย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก
ในวันฉลองพระเยซูคริสต์ “ในห้องโถงมีแต่เสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังกระหึ่ม และทุกคนก็กำลังตั้งใจฟัง มันเป็นอะไรที่พวกเราไม่เคยคิดที่จะฟังกัน เหมือนเพลงของ บิ๊กกี้ สมอลล์ (Biggie Smalls) มิซซี่ แอลเลส (Missy Elliot) และเจย์-ซี (Jay-Z) ” เลอวีนเล่า “ค่ายอาไลย่า เร็คคอร์ดได้โผล่มาช่วงนั้นและมันก็โดนพวกเราไปเต็มๆ” ตั้งแต่นั้นเขาก็ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงจาก เดอะ บีทเทิ้ลส์ (The Beatles) บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเกล (Simon & Garfunkel) และศิลปินอื่นๆที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รูปแบบดนตรีของพวกเขาค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไป เลอวีนเริ่มฟังสตีวี วันเดอร์อย่างจริงๆจังๆ และได้แนวการร้องแบบใหม่ ทางด้านคาร์ไมเคิลก็เริ่มเล่นคีย์บอร์ด และทันใดนั้นอนาคตของพวกเขาก็มีทีท่าสดใสขึ้นอีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่าง
เมื่อทั้ง 2 คนกลับมารวมตัวกับแมดเดนที่แอล.เอ พวกเขาเปลี่ยนรูปแบบดนตรีใหม่โดยเสริม อาร์แอนด์บีและกรู๊ฟ เบส ลงไปในดนตรีร็อกแอนด์โรลที่พร้อมจะระเบิดของพวกเขา ด้วยดนตรีแบบใหม่พวกเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “มารูน ไฟฟ์” พร้อมกับสมาชิกคนที่ 5 มือกีตาร์ เจมส์ วาเลนไทน์ “เจมส์มาแทบจะพร้อมๆ กับตอนที่พวกเรากำลังคิดชื่อวงใหม่” เลอวีนกล่าว “เราไม่ใช่วงคาร่าส์ ฟลาวเวอร์ อีกต่อไปแล้ว ด้วยการมีเจมส์และดนตรีในรูปแบบใหม่เอี่ยม”
อดัม เลอวีน, คาร์ไมเคิล และแมดเดน 3 เพื่อนซี้จากไฮสคูลใน เอล.เอ ตะวันตก เริ่มเป็นที่รู้จักภายใต้ชื่อ คาร่าส์ ฟลาวเวอร์ ถึงแม้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะดีสำหรับพวกเขา แต่อัลบั้มแรก “เดอะ โฟร์ท เวิร์ลด” (The Fourth World) ที่มีโปรดิวซ์เซอร์ระดับตำนาน ร็อบ คาวาลโล่ (Green Day, Goo Goo Dolls) มาทำให้กลับออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง ทำให้พวกเขาหันมาเอาดีทางด้านการเรียน โดยในขณะที่แมดเดนอยู่ที่ ลอสแอนเจลิส เพื่อเรียนที่มหาวิทยาลัยลอสแองเจิลลิส เลอวีนกับคาร์ไมเคิลกลับย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในนิวยอร์ก
ในวันฉลองพระเยซูคริสต์ “ในห้องโถงมีแต่เสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังกระหึ่ม และทุกคนก็กำลังตั้งใจฟัง มันเป็นอะไรที่พวกเราไม่เคยคิดที่จะฟังกัน เหมือนเพลงของ บิ๊กกี้ สมอลล์ (Biggie Smalls) มิซซี่ แอลเลส (Missy Elliot) และเจย์-ซี (Jay-Z) ” เลอวีนเล่า “ค่ายอาไลย่า เร็คคอร์ดได้โผล่มาช่วงนั้นและมันก็โดนพวกเราไปเต็มๆ” ตั้งแต่นั้นเขาก็ได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงจาก เดอะ บีทเทิ้ลส์ (The Beatles) บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) ไซมอน แอนด์ การ์ฟังเกล (Simon & Garfunkel) และศิลปินอื่นๆที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ทำให้รูปแบบดนตรีของพวกเขาค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนไป เลอวีนเริ่มฟังสตีวี วันเดอร์อย่างจริงๆจังๆ และได้แนวการร้องแบบใหม่ ทางด้านคาร์ไมเคิลก็เริ่มเล่นคีย์บอร์ด และทันใดนั้นอนาคตของพวกเขาก็มีทีท่าสดใสขึ้นอีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่าง
เมื่อทั้ง 2 คนกลับมารวมตัวกับแมดเดนที่แอล.เอ พวกเขาเปลี่ยนรูปแบบดนตรีใหม่โดยเสริม อาร์แอนด์บีและกรู๊ฟ เบส ลงไปในดนตรีร็อกแอนด์โรลที่พร้อมจะระเบิดของพวกเขา ด้วยดนตรีแบบใหม่พวกเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “มารูน ไฟฟ์” พร้อมกับสมาชิกคนที่ 5 มือกีตาร์ เจมส์ วาเลนไทน์ “เจมส์มาแทบจะพร้อมๆ กับตอนที่พวกเรากำลังคิดชื่อวงใหม่” เลอวีนกล่าว “เราไม่ใช่วงคาร่าส์ ฟลาวเวอร์ อีกต่อไปแล้ว ด้วยการมีเจมส์และดนตรีในรูปแบบใหม่เอี่ยม”
Songs About Jane
หลังจากกลับมาพร้อมกับ ทัศนคติใหม่ ดนตรีใหม่ และชื่อใหม่ มารูน ไฟฟ์ ก็เริ่มเป็นที่สนใจของต้นสังกัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว และได้เซ็นสัญญากับค่ายอินดี้น้องใหม่ในนิวยอร์กชื่อ Octone Records และในปี 2001 มารูน ไฟฟ์ก็ได้เข้าสตูดิโออย่างจริงจังร่วมกับโปรดิวเซอร์ Matt Wallace (The Replacements, Faith No More) ทำงานดนตรีที่ผสมผสานร็อกและอาร์แอนบีที่พวกเขารักได้อย่างลงตัว ทำให้ได้ผลลัพธ์คืออัลบั้ม ‘ซองส์ อเบาท์ เจน’ (Songs About Jane) ซึ่งถูกปล่อยออกมาในเดือนมิถุนายน ปี 2002 อัลบั้มนี้ผสมผสานไปด้วยจังหวะป๊อป กับทำนองคลาสสิคโซล ประกอบกับเสียงกีตาร์ร็อกที่ทรงพลัง ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือเสียงร้องอันน่าประทับใจของเลอวีน ที่บอกเล่าเรื่องของอดีตแฟนสาวในอัลบั้มนี้
อัลบั้มนี้มีซิงเกิ้ลฮิตติดชาร์ตถึง 4 เพลง หนึ่งในนั้นคือซิงเกิ้ลดัง “ดิส เลิฟ” (This Love) ที่ทำให้ มารูน ไฟฟ์ ได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 2004 เพลงนี้ทะลุอันดับ 1 ท็อป 40, ทั้ง VH1 และ MTV ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งยังเป็นเพลงแรกซึ่งได้รับรางวัลแพลตตินั่มจากการดาวน์โหลดอีกด้วย ทางด้านเพลงอื่นๆก็ไม่น้อยหน้า “ชี วิว บี เลิฟ” (She Will Be Loved) ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขาศิลปินกลุ่ม Best Pop Performance อีก 2 ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มนี้ไม่ว่าจะเป็น “ฮาร์ดเดอร์ ทู บรีท” (Harder to Breathe) หรือ “ซันเดย์ มอร์นิ่ง (Sunday Morning) ต่างก็ขึ้นถึงชาร์ท บิลบอร์ด ท็อป 20 และ ท็อป40 ตามลำดับ นอกจากนี้ทางวงยังได้รางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ด้วย มารูน ไฟฟ์ อยู่บนชาร์ตนานถึง 10 สัปดาห์ ในปี 2004 และทำลายสถิติชาร์ท the Modern Adult Contemporary, Hot AC และ Adult Top 40 จนถึงปัจจุบันอัลบั้มนี้ได้ทำยอดขายระดับแพลตตินั่มแบบนับไม่ถ้วนในอเมริกา และมียอดขายระดับทองคำและแพลตตินั่มมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก
มารูน ไฟฟ์ ได้ทัวร์ไปพร้อมกับศิลปินมากความสามารถตั้งแต่ เดอะ โรลลิง สโตนส์ ไปจนถึง สตีวี วันเดอร์ (ในการปิดโชว์ Live 8 ที่ฟิลาเดเฟีย) พวกเขาแสดงในรายการทีวีเกือบทั้งหมดที่มีการเชิญนักร้องนักดนตรีไปขึ้นโชว์ใน รวมไปถึงรายการดังอย่าง “Saturday Night Live,” “The Late Show with David Letterman,” “The Tonight Show with Jay Leno,” “The Ellen DeGeneres Show,” “Jimmy Kimmel Live,” “The Today Show” และอื่นๆ อีกมากมาย
ตามติดมาด้วยผลงานอัลบั้ม อะคูสติก ในปี 2004 รวบรวมเพลงของพวกเขาในแบบอะคูสติค และอัลบั้มแสดงสด Live – Friday, the 13th ในปี 2005 พวกเขายังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocal เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2006 จากสุดยอดซิงเกิ้ลที่ฮิตไปทั่วโลก “This Love”
เป็นที่รู้กันว่าพวกเขานั้นห่วงใยและช่วยเหลือเรื่องสิ่งแวดล้อมเสมอมา ปี 2006 มารูน ไฟฟ์ จึงได้รับรางวัล Environmental Media Awards และยังมีส่วนในการรณรงค์ให้คนทั่วโลกช่วยกันแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยการลดปริมาณการใช้พลังงานอีกด้วย
หลังจากกลับมาพร้อมกับ ทัศนคติใหม่ ดนตรีใหม่ และชื่อใหม่ มารูน ไฟฟ์ ก็เริ่มเป็นที่สนใจของต้นสังกัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว และได้เซ็นสัญญากับค่ายอินดี้น้องใหม่ในนิวยอร์กชื่อ Octone Records และในปี 2001 มารูน ไฟฟ์ก็ได้เข้าสตูดิโออย่างจริงจังร่วมกับโปรดิวเซอร์ Matt Wallace (The Replacements, Faith No More) ทำงานดนตรีที่ผสมผสานร็อกและอาร์แอนบีที่พวกเขารักได้อย่างลงตัว ทำให้ได้ผลลัพธ์คืออัลบั้ม ‘ซองส์ อเบาท์ เจน’ (Songs About Jane) ซึ่งถูกปล่อยออกมาในเดือนมิถุนายน ปี 2002 อัลบั้มนี้ผสมผสานไปด้วยจังหวะป๊อป กับทำนองคลาสสิคโซล ประกอบกับเสียงกีตาร์ร็อกที่ทรงพลัง ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือเสียงร้องอันน่าประทับใจของเลอวีน ที่บอกเล่าเรื่องของอดีตแฟนสาวในอัลบั้มนี้
อัลบั้มนี้มีซิงเกิ้ลฮิตติดชาร์ตถึง 4 เพลง หนึ่งในนั้นคือซิงเกิ้ลดัง “ดิส เลิฟ” (This Love) ที่ทำให้ มารูน ไฟฟ์ ได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในงานเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 2004 เพลงนี้ทะลุอันดับ 1 ท็อป 40, ทั้ง VH1 และ MTV ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งยังเป็นเพลงแรกซึ่งได้รับรางวัลแพลตตินั่มจากการดาวน์โหลดอีกด้วย ทางด้านเพลงอื่นๆก็ไม่น้อยหน้า “ชี วิว บี เลิฟ” (She Will Be Loved) ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขาศิลปินกลุ่ม Best Pop Performance อีก 2 ซิงเกิ้ลจากอัลบั้มนี้ไม่ว่าจะเป็น “ฮาร์ดเดอร์ ทู บรีท” (Harder to Breathe) หรือ “ซันเดย์ มอร์นิ่ง (Sunday Morning) ต่างก็ขึ้นถึงชาร์ท บิลบอร์ด ท็อป 20 และ ท็อป40 ตามลำดับ นอกจากนี้ทางวงยังได้รางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินหน้าใหม่ด้วย มารูน ไฟฟ์ อยู่บนชาร์ตนานถึง 10 สัปดาห์ ในปี 2004 และทำลายสถิติชาร์ท the Modern Adult Contemporary, Hot AC และ Adult Top 40 จนถึงปัจจุบันอัลบั้มนี้ได้ทำยอดขายระดับแพลตตินั่มแบบนับไม่ถ้วนในอเมริกา และมียอดขายระดับทองคำและแพลตตินั่มมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก
มารูน ไฟฟ์ ได้ทัวร์ไปพร้อมกับศิลปินมากความสามารถตั้งแต่ เดอะ โรลลิง สโตนส์ ไปจนถึง สตีวี วันเดอร์ (ในการปิดโชว์ Live 8 ที่ฟิลาเดเฟีย) พวกเขาแสดงในรายการทีวีเกือบทั้งหมดที่มีการเชิญนักร้องนักดนตรีไปขึ้นโชว์ใน รวมไปถึงรายการดังอย่าง “Saturday Night Live,” “The Late Show with David Letterman,” “The Tonight Show with Jay Leno,” “The Ellen DeGeneres Show,” “Jimmy Kimmel Live,” “The Today Show” และอื่นๆ อีกมากมาย
ตามติดมาด้วยผลงานอัลบั้ม อะคูสติก ในปี 2004 รวบรวมเพลงของพวกเขาในแบบอะคูสติค และอัลบั้มแสดงสด Live – Friday, the 13th ในปี 2005 พวกเขายังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Pop Performance by a Duo or Group with Vocal เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2006 จากสุดยอดซิงเกิ้ลที่ฮิตไปทั่วโลก “This Love”
เป็นที่รู้กันว่าพวกเขานั้นห่วงใยและช่วยเหลือเรื่องสิ่งแวดล้อมเสมอมา ปี 2006 มารูน ไฟฟ์ จึงได้รับรางวัล Environmental Media Awards และยังมีส่วนในการรณรงค์ให้คนทั่วโลกช่วยกันแก้ไขปัญหาโลกร้อนด้วยการลดปริมาณการใช้พลังงานอีกด้วย
It Won't Be Soon Before Long
หลังจากได้รับ 2 รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี 2005 เป็นครั้งแรกและทำยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 10 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก มารูน ไฟฟ์ เอาชนะใจแฟนๆ ด้วยดนตรีร๊อคผสมอาร์แอนด์บีในอัลบั้มแรก Song About Jane และในวันที่ 22 พฤษภาคม 4 ปีหลังจากตระเวนทัวร์คอนเสริ์ตกับศิลปินอาทิเช่น เดอะ โรลลิง สโตนส์ และ สตีวี วันเดอร์ ทางวงก็ได้ฤกษ์ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 ที่ใช้ชื่อว่า It Won’t Be Soon Before Long (A&M/Octone Records) ในอัลบั้มชุดนี้ผู้ฟังจะได้รับซาวนด์ดนตรีที่ “เซ็กซี่ขึ้น” “แข็งแกร่งขึ้น” และ “เนื้อร้องที่หม่นหม่องขึ้น” มากกว่าอัลบั้มแรก ซึ่งอดัม เลอวีน นักร้องนำ/กีตาร์ ก็ได้ออกมายืนยันว่า “มันคือรากฐานของสิ่งที่เราเป็นมาตลอดซึ่งมันแตกต่าง”
อัลบั้มนี้บันทึกเสียงที่บ้านเกิดของพวกเขาใน ลอสแอนเจลิส โดยมีโปรดิวเซอร์ Mike Elizondo (Fiona Apple, Eminem) , Mark “Spike” Stent (Gwen Stefani, Bjork, Keane, Marilyn Manson) , Mark Endert (Madonna, Fiona Apple) และ Eric Valentine (Queens of the Stone Age, Nickel Creek). และยังได้รับการสนับสนุนจากมือกลองคนใหม่ แมท ฟลินน์ ผู้ซึ่งเติมเต็มองค์ประกอบซาวด์ของเลอวีน, มือกีตาร์ เจมส์ วาเรนไทน์, มือเบส มิกกี้ แมดเดน และคีย์บอร์ด เจส คาร์ไมเคิล “พวกเราพอใจกับผลงานชิ้นนี้มาก” เลอวีน กล่าวโดยยกเครดิตให้กับซาวด์และเนื้อหาแบบใหม่ “ในอัลบั้มแรกคุณสามารถหยิบเอาอิทธิพลของพวกเราไปได้ง่ายๆ แต่ซาวด์ของอัลบั้มนี้มันมีความเป็น มารูน ไฟฟ์ มากกว่า” “พวกเราได้กลับมาเป็นวงของพวกเราเอง และผมคิดว่าอัลบั้มนี้จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจว่าจริงๆพวกเราเป็นใคร”
ด้วยซิงเกิ้ลแรก “เมคส์ มี วันเดอร์” (Makes Me Wonder) ตัวเพลงดำเนินต่อเนื่องจากเบสหนักๆ ในช่วงอินโทรไปถึงท่อนที่ชวนหลงใหลแต่ขัดกันกับความหมายในเนื้อเพลง “Give me something to believe in because I don’t believe in you anymore.” ภายใต้ฉากหน้า มาจนถึงเพลง “If I Never See Your Face” ที่เน้นบีตกีตาร์แบบ ควินซี่ โจนส์ ก่อนจะกระโจนเข้าไปใน “Wake Up Call,” ที่เริ่มต้นด้วยแนวอิเล็คโทรนิก้ากับเรื่องราวด้านมืด การทรยศและความเกรี้ยวกราดรุนแรง
เนื้อหาใน อิท วอนท์ บีซูน บีฟอร์ ลอง ได้มีการพูดถึงความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวังไว้เช่นกัน อาทิเพลง “A Little of Your Time” ในรูปแบบร็อกพบฮิปฮอป (ซึ่งเลอวีนบอกว่า“เป็นเพลงมีความพิเศษที่สุดในอัลบั้มและมีเนื้อเพลงที่ดีที่สุดที่เราเคยแต่งกันมา”) ความสัมพันธ์ต้องข้ามผ่านความไม่เชื่อใจและการสื่อสารที่ผิดพลาดเพื่อยืนหยัด และอารมณ์ของเสียงเบสในเพลง “Won’t Go Home Without You” ก็เข้ากับเนื้อที่ร้องขออย่างเศร้าโศกว่า “ขอโอกาสให้ได้แก้ตัวอีกสักครั้งได้ไหม” (one more chance to make it right)
หลังจากได้รับ 2 รางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี 2005 เป็นครั้งแรกและทำยอดขายอัลบั้มได้มากกว่า 10 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก มารูน ไฟฟ์ เอาชนะใจแฟนๆ ด้วยดนตรีร๊อคผสมอาร์แอนด์บีในอัลบั้มแรก Song About Jane และในวันที่ 22 พฤษภาคม 4 ปีหลังจากตระเวนทัวร์คอนเสริ์ตกับศิลปินอาทิเช่น เดอะ โรลลิง สโตนส์ และ สตีวี วันเดอร์ ทางวงก็ได้ฤกษ์ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 ที่ใช้ชื่อว่า It Won’t Be Soon Before Long (A&M/Octone Records) ในอัลบั้มชุดนี้ผู้ฟังจะได้รับซาวนด์ดนตรีที่ “เซ็กซี่ขึ้น” “แข็งแกร่งขึ้น” และ “เนื้อร้องที่หม่นหม่องขึ้น” มากกว่าอัลบั้มแรก ซึ่งอดัม เลอวีน นักร้องนำ/กีตาร์ ก็ได้ออกมายืนยันว่า “มันคือรากฐานของสิ่งที่เราเป็นมาตลอดซึ่งมันแตกต่าง”
อัลบั้มนี้บันทึกเสียงที่บ้านเกิดของพวกเขาใน ลอสแอนเจลิส โดยมีโปรดิวเซอร์ Mike Elizondo (Fiona Apple, Eminem) , Mark “Spike” Stent (Gwen Stefani, Bjork, Keane, Marilyn Manson) , Mark Endert (Madonna, Fiona Apple) และ Eric Valentine (Queens of the Stone Age, Nickel Creek). และยังได้รับการสนับสนุนจากมือกลองคนใหม่ แมท ฟลินน์ ผู้ซึ่งเติมเต็มองค์ประกอบซาวด์ของเลอวีน, มือกีตาร์ เจมส์ วาเรนไทน์, มือเบส มิกกี้ แมดเดน และคีย์บอร์ด เจส คาร์ไมเคิล “พวกเราพอใจกับผลงานชิ้นนี้มาก” เลอวีน กล่าวโดยยกเครดิตให้กับซาวด์และเนื้อหาแบบใหม่ “ในอัลบั้มแรกคุณสามารถหยิบเอาอิทธิพลของพวกเราไปได้ง่ายๆ แต่ซาวด์ของอัลบั้มนี้มันมีความเป็น มารูน ไฟฟ์ มากกว่า” “พวกเราได้กลับมาเป็นวงของพวกเราเอง และผมคิดว่าอัลบั้มนี้จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจว่าจริงๆพวกเราเป็นใคร”
ด้วยซิงเกิ้ลแรก “เมคส์ มี วันเดอร์” (Makes Me Wonder) ตัวเพลงดำเนินต่อเนื่องจากเบสหนักๆ ในช่วงอินโทรไปถึงท่อนที่ชวนหลงใหลแต่ขัดกันกับความหมายในเนื้อเพลง “Give me something to believe in because I don’t believe in you anymore.” ภายใต้ฉากหน้า มาจนถึงเพลง “If I Never See Your Face” ที่เน้นบีตกีตาร์แบบ ควินซี่ โจนส์ ก่อนจะกระโจนเข้าไปใน “Wake Up Call,” ที่เริ่มต้นด้วยแนวอิเล็คโทรนิก้ากับเรื่องราวด้านมืด การทรยศและความเกรี้ยวกราดรุนแรง
เนื้อหาใน อิท วอนท์ บีซูน บีฟอร์ ลอง ได้มีการพูดถึงความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวังไว้เช่นกัน อาทิเพลง “A Little of Your Time” ในรูปแบบร็อกพบฮิปฮอป (ซึ่งเลอวีนบอกว่า“เป็นเพลงมีความพิเศษที่สุดในอัลบั้มและมีเนื้อเพลงที่ดีที่สุดที่เราเคยแต่งกันมา”) ความสัมพันธ์ต้องข้ามผ่านความไม่เชื่อใจและการสื่อสารที่ผิดพลาดเพื่อยืนหยัด และอารมณ์ของเสียงเบสในเพลง “Won’t Go Home Without You” ก็เข้ากับเนื้อที่ร้องขออย่างเศร้าโศกว่า “ขอโอกาสให้ได้แก้ตัวอีกสักครั้งได้ไหม” (one more chance to make it right)
อัลบั้มที่ผ่านมา
- 1997 : เดอะ โฟร์ท เวิร์ลด์ (The Fourth World; ในนามของคาราส์ ฟลาวเวอร์)
- 2002 : ซองส์ อะเบาท์ เจน (Songs About Jane)
- 2007 : อิท วอนท์ บี ซูน บีฟอร์ ลอง (It Won't Be Soon Before Long)
- 2010 : แฮนดส์ ออล โอเวอร์ (Hands All Over)
No comments:
Post a Comment